ประวัติ
ชีวิตช่วงแรก
เฉินหลงถ่ายกับพ่อตอนเด็ก
เฉินหลงเกิดวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2497 ที่วิกตอเรียพีคในฮ่องกง มีชื่อจริงว่า เฉินก่างเซิง (ชานคงซาง) หรือหมายความว่า "เกิดที่ฮ่องกง" พ่อของเฉินหลงชื่อ เฉิน จื้อผิง แม่ชื่อ เฉิน ลี่ลี่ เดิมอยู่เมืองจีน แต่หนีออกมาอยู่ฮ่องกงสมัยสงครามกลางเมือง ตอนเด็กๆ พ่อแม่ตั้งชื่อเล่นให้อย่างน่ารักน่าเอ็นดูว่า "เพ่าเพ่า" หรือ "ลูกระเบิด" เพราะชอบนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเบาะ เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน เขาเกือบถูกพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าขายให้กับหมออังกฤษในราคาแค่ 26 เหรียญ แต่แล้วพ่อแม่ของเขาก็ได้ล้มเลิกความคิดนั้น
พ่อของเขาทำงานเป็น "พ่อครัว" แม่ทำงานเป็น "แม่บ้าน" ให้กับเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในฮ่องกง เฉินหลงก็เติบโตมาในสถานทูต เมื่ออายุถึงเกณฑ์ก็เข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนหนานหัว
เมื่อเฉินหลงอายุได้ 7 ขวบ พ่อก็ส่งเขาเข้าโรงเรียนอุปรากรจีน โดยที่ตัวของพ่อกับแม่นั้นต้องไปทำงานเป็นพ่อครัวกับแม่บ้านที่สถานทูตในออสเตรเลีย และที่โรงเรียนนั้นเองที่ทำให้เฉินหลงได้เรียนรู้ชีวิตที่โดดเดี่ยว เพราะเขาต้องห่างครอบครัวเป็นเวลานาน แต่ที่นั่นก็ทำให้เฉินหลงได้พบเพื่อนร่วมสาบานอย่าง หงจินเป่า และ หยวนเปียว
เฉินหลงเรียนจบเมื่ออายุ 17 ปี เขาได้ไปสมัครเข้าร่วมทีมสตันท์ในวงการหนังฮ่องกงในช่วงที่ บรู๊ซ ลี ยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อ บรู๊ซ ลี เสียชีวิต เฉินหลงต้องตกงานเพราะวงการหนังกังฟูฮ่องกง กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ
จุดตกต่ำ
ความสามารถเฉินหลงเกิดไปสะดุดตาผู้สร้างหนังอย่าง หลอเหว่ย ผู้กำกับหนัง Fist of Fury ของบรู๊ซ ลี โดยเขาต้องการปั้นดารากังฟูขึ้นมาแทนบรู๊ซ ลี โดยเฉินหลงได้แสดงหนังในตอนนั้นทั้งหมด 10 เรื่อง ได้แก่ New Fist of Fury (1976) Shaolin Wooden Men (1976) Eagle Shadow Fist (1977) Half a Loaf of Kung Fu (1977) Killer Meteors (1977) To Kill with Intrigue (1977) Snake and Crane Arts of Shaolin (1978) Magnificent Bodyguards (1978) Spiritual Kung Fu (1978) และ Dragon Fist (1978) โดยทั้งหมดนี้ไม่ประสบความสำเร็จเลยแม้แต่เรื่องเดียว
จุดประสบความสำเร็จ
Drunken Master (1978)
ปี 1978 เมื่อเฉินหลงนำแสดงหนังให้กับ Seasonal Film เรื่อง Snake in the Eagle's Shadow (1978) ทำให้ชื่อของเฉินหลง กลายเป็นดาราดังเพียงช่วงข้ามคืน เพราะสามารถทำเงินอย่างมหาศาลในฮ่องกง จากนั้นเฉินหลงก็ได้นำแสดงใน Drunken Master (1978) โดยเฉพาะเรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะประสบความสำเร็จในฮ่องกงเท่านั้น แต่ยังประสบความสำเร็จทั่วเอเชียอีกด้วย
และเมื่อเฉินหลงหมดสัญญากับหลอเหว่ย เขาก็มุ่งหน้าไปที่สังกัดโกลเด้นท์ ฮาร์เวส (Golden Harvest) ซึ่งในอดีตบรู๊ซ ลี เคยเป็นดาราประจำของค่ายนี้ โดยที่สิทธิการทำหนังในค่ายนี้ เฉินหลงเป็นคนสามารถเลือกเองได้ ผลงานเรื่องแรกในค่ายนี้คือเรื่อง The Young Master (1980) ซึ่งสามารถทำรายได้ 10 ล้านเหรียญฮ่องกงเป็นเรื่องแรก จากนั้น หลังจากนั้นเฉินหลงก็ได้กลับมาทำหนังในฮ่องกงกับร่วมกับ 2 สหายอย่าง หงจินเป่า และ หยวนเปียว โดยผลงานที่ทั้งสามได้แสดงด้วยกันมี 6 เรื่อง คือ Winners and Sinners (1983) Project A (1984) Wheels on Meals (1984) My Lucky Stars (1985) Twinkle Twinkle Lucky Stars (1986) และ Dragons Forever (1988) เป็นเรื่องสุดท้าย (แต่เรื่อง Heart of Dragon (1985) เฉินหลงกับหงจินเป่าแสดง แต่หยวนเปียวอยู่ในส่วนกำกับคิวบู๊ )
แต่เฉินหลงกลับมาประสบความสำเร็จอย่างสูงอีกครั้ง ในหนังตำรวจร่วมสมัยอย่าง Police Story (1985) โดยเรื่องนี้ทำให้เฉินหลงได้รับรางวัลม้าทองคำ (ตุ๊กตาทองฮ่องกง) ถึง 2 รางวัล คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ออกแบบฉากต่อสู้ยอดเยี่ยม จากนั้นเฉินหลงก็แสดงหนังในฮ่องกงหลายเรื่องตลอดมาเรื่อยๆ เช่น Armour of God (1987) Police Story 2 (1988) Miracles (1989)
จนโชคเพิ่งมาเข้าข้างเฉินหลงในช่วงยุค'90 หนังหลายเรื่องของเฉินหลงเป็นที่ยอมรับในทั่วเอเชียเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Armour of God II: Operation Condor (1991) Police Story 3: Supercop (1992) City Hunter (1993) Crime Story (1993) และตำนานไอ้หนุ่มหมัดเมาอย่าง Drunken Master II (1994) ซึ่งเรื่องนี้เฉินหลงได้ร่วมงานกับ หลิวเจียงเหลียง อีกทั้งยังทำรายได้ไปถึง 40 ล้านเหรียญฮ่องกง จากนั้นเฉินหลงก็มีหนังท็อปฟอร์มหลายเรื่องในเวลาต่อมา เช่น Thunderbolt (1995) Police Story 4: First Strike (1996) Mr. Nice Guy (1997) และ Who Am I? (1998)
ฮอลลีวู้ด
Rush Hour (1998)
เฉินหลงก็มีโอกาสไปแสดงหนังฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรกในหนังพีเรียด - กังฟู เรื่อง The Big Brawl (1980) (ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Battle Creek Brawl) ผลลัพธ์ที่ได้คือ ไม่ประสบความสำเร็จเลย จากนั้นเขาก็แสดงเป็นตัวประกอบในหนังแนว Road Movie อย่าง Cannonball Run (1981) และ Cannonball Run 2 (1982) เรียกได้ว่าการไปเล่นหนังฮอลลีวู้ดของเขานั้น ล้มเหลวไม่เป็นท่า และเรื่องที่ 4 อย่าง The Protector (1985) ซึ่งก็ล้มเหลวอีกครั้ง
และการไปเปิดตลาดอเมริกาครั้งที่สอง ของเฉินหลงก็เป็นผล เมื่อ Rumble in the Bronx (1995) สามารถเปิดตัวขึ้นอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศของอเมริกาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 สามารถทำรายได้ตลอดการฉายถึง 32.3 ล้านเหรียญสหรัฐ
และการแสดงหนังฮอลลีวู้ดของเฉินหลงในรอบหลายปีก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเฉินหลงนำแสดงใน Rush Hour (1998) ที่นำแสดงคู่กับ คริส ทักเกอร์ หนังประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยสามารถทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิสถึง 141.1 ล้านเหรียญ และ 244.3 จากทั่วโลก จากนั้นเฉินหลงก็มีโอกาสเล่นหนังทั้งในฮ่องกงและอเมริกาสลับกันหลายๆครั้ง เช่น Gorgeous (1999) Shanghai Noon (2000) The Accidental Spy (2001) และเฉินหลงก็กลับมาเล่นหนังภาคต่ออย่าง Rush Hour 2 (2001) The Tuxedo (2002) และ Shanghai Knights (2003) ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเหมือนเคย
แต่ผลงานอย่าง Around The World in 80 Days (2004) ที่เฉินหลงร่วมแสดงกับ สตีฟ คูแกน และ ซีซิล เดอ ฟรานซ์ ประสบความล้มเหลวในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก โดยทำเงินทั่วโลกไปเพียงแค่ 72.1 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 110 ล้านเหรียญสหรัฐ
หลังจากนั้นอีก 3 ปี เฉินหลงก็กลับมาร่วมงานกับ แบร็ท แร็ตเนอร์ และ คริส ทักเกอร์ อีกครั้ง ใน Rush Hour 3 (2007) โดยทิ้งห่างจากภาคที่แล้วถึง 6 ปี และก็ยังทำเงินในอเมริกาถึง 140.1 และ 255.0 จากทั่วโลก
ปี 2008 เฉินหลงนำแสดงร่วมกับ หลี่เหลียนเจี๋ย ในภาพยนตร์กำลังภายใน - แฟนตาซี เรื่อง The Forbidden kingdom (2008) โดยเป็นการร่วมกันครั้งแรกของทั้งคู่ และในปีเดียวกันเฉินหลงยังให้เสียงตัวการ์ตูน "Master Monkey" ในเรื่อง Kung Fu Panda (2008) ของ ดรีมเวิร์กส์ แอนนิเมชั่น โดยมีผู้ร่วมให้เสียง เช่น แจ็ค แบล็ค, ดัสติน ฮอฟแมน, แองเจลิน่า โจลี่ และ ลูซี่ ลิว
เฉินหลงนำแสดงในหนังแอ็คชั่น - คอมเมดี้ เรื่อง The Spy Next Door โดยรับบทเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ต้องมาต่อสู้กับเหล่าสายลับมากฝีมือ หลังจากที่เหล่าเด็กๆดูแลดันเกิดโหลดข้อมูลลับขององค์กรแห่งหนึ่ง โดยมีกำหนดฉายในปี 2009
งาน
JCE Movies Limited
JCE Movies Limited
หลังจากร่วมงานกับทาง Golden Harvest มานานร่วม 20 กว่าปี ในปี 2003 เฉินหลงจึงตัดสินใจเดินออกจาก Golden Harvest และมาเปิดบริษัทของตัวเองในนาม JCE Movies Limited (Jackie Chan Emperor Movies Limited) โดยอยู่ในเครือของบริษัท Emperor Multimedia Group (EMG) บริษัทสื่อบันเทิงยักษ์ใหญ่ในฮ่องกง
ซึ่งตัวของเฉินหลงเองเป็นทั้งผู้สร้างและนำแสดงในหนังของตนเอง หนังของเขาเรื่องแรกในนามบริษัทนี้ คือ The Medallion (2003) และหลังจากนั้นก็มีผลงานทำเงินต่อเนื่องอย่าง New Police Story (2004) , The Myth (2005) และ Rob-B-Hood (2006)
ปี 2009 เฉินหลงนำแสดงภาพยนตร์แนวดราม่าเรื่อง The Shinjuku Incident (2009) ผลงานของ เอ๋อตงเซิน โดยเรื่องนี้เป็นผลงานดราม่าเต็มรูปแบบครั้งแรกของเฉินหลง
ผลงาน
- Rice Rhapsody (2004)
- Enter the Phoenix (2004) [รับเชิญ]
- New Police Story (2004)
- House of Fury (2005)
- Everlasting Regret (2005)
- The Myth (2005)
- Rob-B-Hood (2006)
- Run Papa Run (2008)
- Wushu (2008)
- Shenmue Online (VG) (2008)
- The Shinjuku Incident (2009)
นักร้อง
เฉินหลงเป็นคนที่ชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ เฉินหลงเคยชิมลางร้องเพลงประกอบในหนังเรื่อง The Young Master (1980) ในเพลงที่มีชื่อว่า "Kung Fu Fighting Man" ซึ่งเป็นเพลงภาษาอังกฤษเพลงแรกในชีวิตของเขา
และในปี 1984 เฉินหลงเปิดตัวในฐานะศิลปินกับอัลบั้มแรกที่มีชื่อชุดว่า Love Me โดยมีเพลงฮิตในชื่อเดียวกับอัลบั้ม ซึ่งประสบความสำเร็จพอสมควร และหลังจากนั้นเขาก็มีผลงานอัลบั้มเพลงกว่า 20 ชุด โดยเป็นอัลบั้มเดี่ยว 11 ชุด อัลบั้มรวมฮิต 9 อัลบั้ม อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ 12 ชุด (ร่วมร้อง) และร่วมร้องกับศิลปินอื่นๆอีกมากมาย
อัลบั้มเพลงเดี่ยวล่าสุดของเขาคือชุด Truely, With All My Heart ในปี 2002 และมีเพลงฮิตในชื่อเดียวกับอัลบั้ม
- Music Albums
- Love Me (1984)
- Do Je (1985)
- The Boy's Life (1985)
- Shangri La (1986)
- Sing Lung (1986)
- Mou Man Tai (1987)
- HK, My Love (1988)
- Jackie Chan (1988)
- The Best Of Jackie Chan (1988)
- See You Again - The Best of Jackie Chan II (1989)
- Jackie (1989)
- The First Time (1992)
- The Best of Film Music (1995)
- Jackie Chan (1995)
- Giant Feelings (90s)
- Dragon's Heart (1996)
- The Best Of Jackie Chan (1999)
- Asian Pops Gold Series (2000)
- Rock Hong Kong 10th Anniversary - Jackie Chan Greatest Hits (2003)
- Movie Soundtrack LP's & CD's
- Armour of God (Alan Tam - 1986)
- Police Story 3 (1992)
- Drunken Master 2 (1994)
- Thunderbolt (1995)
- Mr. Nice Guy (1997)
- Who Am I (1998)
- Mulan - Chinese OST (1998)
- Gorgeous (1999)
- Rush Hour - Asian OST (1998)
- Accidental Spy (2001)
- New Police Story (2004)
- The Myth (2005)
- Rob-B-Hood (2006)
Jackie Chan : My Stunts (1999)
สารคดี
เฉินหลงได้สร้างงานสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของตัวเขาเองถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเขาสร้างงานสารคดีเกี่ยวกับชีวประวัติตัวเองในชื่อชุด Jackie Chan : My Story (1998) เนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมาของชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงจุดที่เฉินหลงประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้ ซึ่งมีแขกรับเชิญต่างๆมากมาย อาทิ หงจินเป่า หยางจื่อฉุง และอื่นๆอีกมากมาย
ครั้งที่สองใช้ชื่อชุดว่า Jackie Chan : My Stunts (1999) โดยเนื้อหาในนี้เกี่ยวงานแอ๊คชั่นของเฉินหลง ซึ่งเป็นเคล็ดลับสำหรับคนที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับงานสตันท์ได้เป็นอย่างดี
และครั้งล่าสุดใช้ชื่อชุดว่า Traces of a Dragon : Jackie Chan & His Lost Family (2003) ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของพ่อเฉินหลง ซึ่งเนื้อหาจะมีเรื่องของสภาพสังคมในประเทศจีนในสมัยของพ่อเฉินหลง
เฉินหลงมีส่วนร่วมในสารคดีเรื่อง An Alan Smithee Film: Burn Hollywood Burn (1998) โดยเฉินหลงรับบทเป็นตัวของเฉินหลงจริงๆ หนังว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับผู้กำกับ ที่ทำหนังไม่เคยประสบความสำเร็จเลย แต่หนังก็สามารถคว้ารางวัล Razzie Awards (รางวัลหนังยอดแย่) ไปครองถึง 5 ตัว
ธุรกิจส่วนตัว
เฉินหลงนอกจากจะทำงานในวงการบันเทิงแล้ว เขายังมีธุรกิจส่วนตัวอย่างร้านอาหาร Jackie's Kitchen ที่มีสาขา ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี และอีกหลายสาขาในทั่วโลก Jackie Chan Cafe ที่มีสาขาทั้งจีน, มาเลเซีย และ สิงค์โปร์ รวมถึงธุรกิจฟิตเนสที่มีชื่อว่า California Fitness Jackie Chan Sport Club และล่าสุดได้เปิดเว็บไซต์อย่าง JackieChanDesign.com ที่รวบรวมขายสินค้าของเขาทางอินเทอร์เน็ต นับตั้งแต่โปสเตอร์, เสื้อผ้า,ของตกแต่งบ้าน จนกระทั่งแสตมป์ และมีสาขาต่างประเทศคือ อังกฤษ และ รัสเซีย
เฉินหลงในรูปแบบอื่น
วิดีโอเกม
Jackie Chan's Action Kung Fu
เฉินหลงในปัจจุบันเป็นดาราแอคชั่นระดับโลกไปแล้ว ดังนั้นบริษัทเกมทั้งหลายจึงอยากจะนำรูปลักษณ์ของเฉินหลงไปเป็นตัวละครในเกม เดิมทีเฉินหลงเคยถูกนำไปเป็นแบบตัวละครในเกม Jackie Chan's Action Kung Fu ในปี 1991 โดยบริษัท Hudson Soft
ปี 1995 เฉินหลงก็ถูกเอาไปสร้างเป็นเกมตู้ในเกมที่มีชื่อว่า Jackie Chan In Fists Of Fire สร้างโดย Kaneko
ปี 2000 เครื่องเล่นเกมเพลย์สเตชันก็เอาเฉินหลงไปเป็นตัวละครในเกม Jackie Chan Stuntmaster ซึ่งผลิตโดย Radical Entertainment ซึ่งเป็นเกมรูปแบบ 3D
และล่าสุดกับเกม Jackie Chan Advertures ในปี 2004 โดยอิงจากตัวละครในการ์ตูน Jackie Chan Adventures โดยจัดจำหน่ายในรูปแบบเครื่องเกมบอยแอดวานซ์ และ เกมเพลย์สเตชัน 2 โดยบริษัท Atomic Planet ในเครือของ Sony โดยอิงเนื้อเรื่องของการ์ตูนในช่วง Season 1 และ 2
การ์ตูน
Jackie Chan Adventures เป็นชื่อของการ์ตูนที่เอาคาแรคเตอร์ของเฉินหลงไปสร้างเป็นตัวละครหลักของเรื่อง โดยการสร้างสรรค์ของ จอห์น โรเจอร์ ผ่านการออกแบบตัวละครโดย เจฟฟ์ มัสสุดะ ออกฉายทางช่อง Cartoon Network สร้างโดย Kids' WB ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน ปี 2000 ถึง 8 กรกฎาคม ปี 2005 ทั้งหมด 95 ตอน ภายใน 5 Season และเคยออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 เวลา 06.00 ทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ปี 2544 - 2545
แรงบันดาลใจ
ฮาร์โรลด์ ลอยด์
"แรงบันดาลใจของเฉินหลงไม่ใช่บรู๊ซลี" เฉินหลงเคยบอกว่าเขาไม่ต้องการจะเป็นบรู๊ซลีคนที่ 2 แต่เขาต้องการต่างออกไปจากตัวของบรู๊ซลี เฉินหลงจึงผสมผสานงานของเขาให้ออกมาในแบบที่ไม่รุนแรง ซึ่งงานของบรู๊ซลีมักจะเป็นในรูปแบบที่จริงจัง หนักหน่วง ภาพยนตร์ของเฉินหลงเป็นในรูปแบบกังฟูสมัยใหม่ผสมกับความตลก ซึ่งแรงบันดาลใจมาจากดาราตลกเงียบ 3 คน อันได้แก่
- ชาร์ลี แชปลิน ในส่วนนี้เฉินหลงได้แรงบันดาลใจมากจากการแสดงหน้า ท่าทาง
- ฮาร์โรลด์ ลอยด์ เฉินหลงได้ไอเดียจากการแสดงฉากหัวเราะในเวลาที่สถานการณ์ขับขัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คืองานของเฉินหลงในเรื่อง เอไกหว่า หรือ Project A (1984) ในฉากตกหอนาฬิกา โดยเหมือนกันทุกๆอย่าง ต่างกันที่เฉินหลงเลือกที่จะตกลงมาจากความสูงจริงๆ แต่ฮาร์โรลด์ ลอยด์ ใช้ความสูงที่ต่างจากเฉินหลง
- บัสเตอร์ คีตัน เฉินหลงได้ไอเดียของการแสดงตลกหน้าตาย ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกคือ ฉากที่ฝาบ้านในเรื่อง Project A Part II (1987) ตกลงมาใส่ตัวของเฉินหลง แต่เฉินหลงกลับอยู่ในจุดที่ตรงกับประตูของฝาบ้าน จึงทำให้เฉินหลงไม่เป็นอะไร ซึ่งคล้ายกับฉาก Steamboat Bill Jr. (1928) ของบัสเตอร์ คีตัน
ฉากเสี่ยงตายและอุบัติเหตุ
ภาพอุบัติเหตุจาก Armour of God (1987)
เฉินหลงได้จัดตั้งทีมงานสตั๊นท์ของตนเองโดยใช้ชื่อว่า Jackie Chan Stunt Team (หรืออีกชื่อ Jackie Chan's Stuntmen Association) ซึ่งเฉินหลงตั้งทีมนี้ในปี 1983 โดยทำงานในการออกแบบท่าทางและสร้างสรรค์ฉากแอ็คชั่นในหนังของเฉินหลง โดยแรกเริ่มมีสมาชิกเพียง 6 คน จากนั้นก็มีคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกในทีมนับสิบกว่า ทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติ ซึ่งทีมของเฉินหลงยังประสานงานร่วมกันกับทีมของ หงจินเป่า และ หยวนเปียว ด้วย โดยใช้ชื่อว่า Hung Ga Ban และ Yuen Ga Ban ตามลำดับ
การเกิดอุบัติเหตุก็ดูว่าจะเป็นของคู่กันกับการแสดงฉากเสี่ยงตายของเฉินหลง ซึ่งบาดแผลจากอุบัติเหตุของเฉินหลงนั้นมีมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือในหนังเรื่อง Armour of God (1987) : ใหญ่สั่งมาเกิด โดยในฉากแรกของหนังที่เฉินหลงจะต้องกระโดดจากตึกแล้วมาเกาะต้นไม้ แต่ในการถ่ายทำครั้งแรกเฉินหลงรู้สึกไม่ดีพอเลยต้องการถ่ายใหม่ แต่การถ่ายครั้งที่สองต้นไม้ที่เฉินหลงเกาะนั้นเกิดหัก ทำให้เฉินหลงตกลงมาในความสูงที่พอสมควร ผลก็คือ กะโหลกศีรษะของเฉินหลงร้าว ทำให้ต้องมีการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน แต่ในที่สุดเฉินหลงก็รอดมาได้ ทว่าหูของเขาได้รับความกระทบกระเทือนพอสมควร จึงทำให้ประสิทธิภาพในการได้ยินลดลง
ในการถ่ายทำหนังเฉินหลงผ่านการบาดเจ็บมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน ได้แก่
- ศีรษะ - สมองได้รับความกระทบกระเทือนจากหนังเรื่อง Armour of God, ได้รับความกระทบกระเทือนจนหมดสติใน Hand of Death
- หู - ในอุบัติเหตุครั้งเดิมใน Armour of God หูข้างซ้ายของเฉินหลง มีประสิทธิภาพทางการได้ยินน้อยลง
- ตา - หางคิ้วบาดเจ็บ และเกือบตาบอดใน Drunken Master
- จมูก - จมูกใหญ่ๆ ของเฉินหลงเคยหักมาสองครั้ง ใน The Young Master, Project A และเกือบๆ หักใน Mr. Nice Guy
- แก้ม - กระดูกแก้มเคลื่อนใน Police Story 3
- ฟัน - ฟันหักไปหนึ่งซี่ โดยการแตะของ Hwang Jang Lee ใน Snake in the Eagle's Shadow
- คาง - ใน Dragon Lord ที่เฉินหลงกำกับเอง เขาบาดเจ็บคางจนเจ็บแม้กระทั่งเวลาพูด ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเวลาต้องกำกับหนัง ส่วนการแสดงไม่สามารถทำได้เลย
- ช่องคอ - จากการเกิดอุบัติเหตุในการถ่ายทำเรื่อง The Young Master
- คอ - เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ครั้งที่หนักที่สุดก็คือฉาก "หอนาฬิกา" ใน Project A และจากการถ่ายฉากตีลังกาใน Mr. Nice Guy
- ไหล่ - เจ็บไหล่จาก City Hunter
- มือ - จาก The Protector ที่เฉินหลงเจ็บมือ และกระดูกนิ้วร้าว
- แขน - ในเรื่อง Snake in the Eagle's Shadow เฉินหลงต้องถ่ายทำฉากการต่อสู้โดยใช้ดาบ เกิดอุบัติเหตุจนดาบไปเฉือนเนื้อของเขาเข้าจริงๆ จนเลือดพุ่งออกมา แต่กล้องก็ยังถ่ายต่อไป ทำให้อุบัติเหตุนี้ปรากฏอยู่ในฉากนั้นด้วย
- หน้าอก - ฉากที่เฉินหลงต้องถูกห้อยด้วยโซ่ใน Armour of God II: Operation Condor ทำให้กระดูกหน้าอกเคลื่อน
- หลัง - เกิดขึ้นบ่อยๆ ในหนังของเฉินหลง โดยเฉพาะใน Police Story ในฉากที่เฉินหลงสไลด์ตัวลงมาจากเสา เกือบทำให้เขาเป็นอัมพาต เพราะกระดูกสันหลังเกือบหัก
- กระดูกเชิงกราน - ในฉากเดียวกันกับด้านบน กระดูกเชิงกรานของเฉินหลงเคลื่อน
- ขา - ขาหักใน Crime Story จากอุบัติเหตุจากรถ
- เข่า - เข่าก็เป็นอีกส่วนที่หักเป็นประจำ ครั้งที่รุนแรงที่สุดคือฉากสเก็ตบอร์ดใน City Hunter
- เท้า - เฉินหลงเท้าหักในฉากที่ต้องกระโดดลงไปใน hovercraft ในภาพยนตร์เรื่อง Rumble in the Bronx หลังจากไปเข้าเฝือก เฉินหลงก็กลับไปแสดงทั้งๆ ที่ยังใส่เฝือกที่ขาอยู่
ชีวิตส่วนตัว
เฉินหลงเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งกับ หลินฟ่งเจียว นักแสดงชาวไต้หวัน เมื่อปี 1982 มีลูกด้วยกัน 1 คน คือ เฉินจู่หมิง หรือ Jaycee Chan ปัจจุบันแยกกันอยู่ แต่เมื่อปี 1999 หนังสือพิมพ์ในฮ่องกงต่างพาดหัวข่าวว่า "เฉินหลงทำผู้หญิงท้อง" ผู้หญิงคนนั้นมีชื่อว่า อีเลน อึ้ง อดีตมิสเอเชียปี 1990 ปัจจุบันเฉินหลงมีลูกสาวอย่างลับๆอีก 1 คน
เกียรติประวัติและภาพลักษณ์
Chan's star on the Avenue of Stars, Hong Kong
ด้านเกียรติประวัติ เฉินหลงได้รับรางวัลมาแล้วทั่วโลก โดยเขาได้รับรางวัล Innovator Award ในเวที American Choreography Awards ในปี 2002 , รางวัล Lifetime Achievement Award เวที Asia-Pacific Film Festival ในปี 1993 MTV Movie Award ปี 1995 และ Taurus Honorary Award ปี 2002 และอื่นๆอีกมากมาย
และเฉินหลงเป็นดาราคนที่ 2,205 ที่ได้มาประทับฝ่ามือไว้เป็นเกียรติประวัติที่ Star on the Walk of Fame และ The Avenue of Stars ที่ฮ่องกง
ด้านภาพลักษณ์ วง Ash's แต่งเพลง "Kung Fu" โดยใช้เฉินหลงในหนัง Rumble In The Bronx (1995) ไปอ้างอิงในเนื้อเพลงและได้ใช้เป็นเพลงเครดิตตอนท้ายของหนังในเรื่องนี้ของเวอร์ชันอเมริกา และ "Jackie Chan" ของวง Frank Chickens
และเฉินหลงยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างตัวการ์ตูนตัวหนึ่งใน ดราก้อนบอล, ตัวละคร Lei Wulong ใน Tekken และท่าทางของตัวละคร Hitmonchan ของ โปเกมอน รวมทั้งเป็นพรีเซ็นเตอร์ของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ดีมายาวนาน และมิตซูบิชิยังมอบรถเพื่อใช้ในการถ่ายทำหนังของเขามาโดยตลอด
ที่มา ... wikipedia